
เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2568 ดร.ณิรวัฒน์ ธรรมจักร์ ผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) มอบหมายให้ รศ.ดร.พิพัฒน์ นนทนาธรณ์ รองผู้อำนวยการ บพค. ร่วมเปิดงานประชุมวิชาการนานาชาติ ภายใต้หัวข้อ “ASEANSafe2025: Safer Food in a Climate Challenging Era” ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-20 พฤศจิกายน 2568 ณ โรงแรมชาเทรียม ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ ซึ่ง การจัดงานนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีระดับนานาชาติในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ นวัตกรรม และแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดด้านความปลอดภัยอาหาร ภายใต้ความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครอบคลุมทุกห่วงโซ่อาหาร พร้อมผลักดันความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการพัฒนาศักยภาพบุคลากรในภูมิภาค
ในงานได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวเปิดงานว่า “การประชุมนี้จะช่วยสะท้อนเจตนารมณ์ร่วมกันในการยกระดับความปลอดภัยอาหาร ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของทั้งระบบสาธารณสุข เศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นของผู้บริโภค จากอาหารที่ไม่ปลอดภัย ซึ่งเป็นภัยเงียบที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นภายใต้ภาวะโลกร้อน และปัญหานี้ไม่หยุดอยู่แค่พรมแดนของประเทศใดประเทศหนึ่ง จำเป็นต้องร่วมกันหาทางแก้ไขก้าวข้ามพรมแดนเช่นเดียวกัน การประชุมนี้จึงเป็นเวทีที่มีความสำคัญยิ่งในการรวบรวมนักวิจัย ผู้กำหนดนโยบาย และพันธมิตรจากหลายประเทศมาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองและร่วมกันกำหนดทิศทางในอนาคต”

ดร.วรินธร สงคศิริ รองผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า “สวทช. มุ่งขับเคลื่อนประเด็นความปลอดภัยและความมั่นคงทางอาหารในอาเซียนผ่านงานวิจัยและนวัตกรรม โดย ไบโอเทค สวทช. ภูมิใจที่ได้เป็นเจ้าภาพหลักการประชุมครั้งนี้ และร่วมทำงานกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งตลอดห่วงโซ่อาหาร ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ความร่วมมือเชิงรูปธรรม เช่น โครงการ Mycobean และ mycoSMART ภายใต้โครงการ EU RISE scheme แสดงให้เห็นถึงพลังของนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ซึ่งช่วยยกระดับคุณภาพอาหาร สุขภาพ และเศรษฐกิจภูมิภาคได้อย่างเป็นรูปธรรม”

ดร.ณิรวัฒน์ฯ ผู้อำนวยการ บพค. ได้กล่าวผ่านวิดีทัศน์ว่า “บพค. ขอแสดงความยินดีอย่างยิ่งต่อทีมคณะผู้วิจัยในโครงการ mycoSMART และพันธมิตรทุกท่าน ภายใต้แผนงานการพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือนานาชาติเพื่อการยกระดับความเป็นเลิศของมหาวิทยาลัย/สถาบันวิจัยไทย ซึ่งโครงการดังกล่าวได้แสดงให้เห็นถึงผลงานอย่างเป็นที่ประจักษ์และความสำเร็จอันโดดเด่นอย่างมากในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นผลงานวิจัยที่มีคุณภาพสูง การพัฒนาต้นแบบที่ชัดเจน และที่สำคัญอย่างยิ่งคือการสร้างเครือข่ายความร่วมมืออันแข็งแกร่งระหว่างนักวิจัยไทยกับสถาบันชั้นนำหลายแห่งในทวีปยุโรป จนเกิดการรวมกลุ่มจัดตั้งศูนย์วิจัยนานาชาติว่าด้วยความมั่นคงทางอาหาร (International Joint Research Center on Food Security (IJC-FOODSEC)) ในประเทศไทย ที่มีบทบาทสำคัญในการยกระดับและส่งเสริมความร่วมมือด้านการวิจัยและการสร้างนักวิจัยรุ่นใหม่ ผ่านการจัดการประชุมนานาชาติ เวิร์กชอป และการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการหลายครั้ง อีกทั้งยังประสบความสำเร็จในการแสวงหาแหล่งทุนวิจัยจากภายนอก ทั้งจากสหภาพยุโรป (European Union) และ The Global Challenge Research Fund อีกด้วย”
นอกจากนี้ ผู้อำนวยการ บพค. ยังกล่าวทิ้งท้ายเพิ่มเติมว่า “มีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนสนับสนุนโครงการความร่วมมือที่มีผลสัมฤทธิ์ต่อสังคมเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ ซึ่งตอกย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือระหว่างประเทศในการรับมือกับความท้าทายระดับโลก ในประเด็นสำคัญอย่างความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ และการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน”

บพค. ในฐานะเป็นหน่วยบริหารและจัดการทุนที่มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนทุนด้านการพัฒนาศักยภาพนักวิจัย รวมถึงการสร้างความร่วมมือกับสถาบันวิจัยชั้นนำของโลก ได้ให้การสนับสนุนการทำงานของคณะทีมวิจัยผ่านโครงการ “การพัฒนาชุดตรวจวินิจฉัยสารพิษจากราแบบแถบทดสอบที่พัฒนาจากเทคนิคไมโครอะเรย์” ภายใต้โปรแกรมการพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือนานาชาติเพื่อการยกระดับความเป็นเลิศของมหาวิทยาลัย/สถาบันวิจัยไทย ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2564 เป็นต้นมา ถือเป็นหนึ่งในกลไกหลักสำคัญต่อการขับเคลื่อนและรองรับต่อความท้าทายด้านความปลอดภัยอาหารของประเทศไทย ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นจากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน ผ่านความร่วมมือด้านการวิจัยและการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้กับนานาชาติ มีบทบาทในการเชื่อมโยงงานวิทยาศาสตร์สู่การกำหนดนโยบาย เพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยอาหารและความเข้มแข็งของระบบอาหารในภูมิภาคอย่างแท้จริง