

วันนี้ (14 ตุลาคม 2568) ดร.ณิรวัฒน์ ธรรมจักร์ ผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) พร้อมด้วย ดร.รัฐภูมิ ตู้จินดา รองผู้อำนวยการ บพค. และพนักงาน บพค. ร่วมงานเปิดตัว “ห้องปฏิบัติการสัตว์น้ำขั้นสูงภายใต้ระบบความปลอดภัยชีวภาพระดับ 2” (Advanced Aquatic Animal BSL2 Laboratory: BSL2) เพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์และนวัตกรรม รองรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพสัตว์น้ำที่ได้มาตรฐานและปลอดภัยในระดับประเทศ โดยมุ่งเป้าให้ห้องปฏิบัติการแห่งนี้รองรับการทดลอง ทดสอบ และพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพสัตว์น้ำในระดับที่ปลอดภัยและใกล้เคียงกับการใช้งานจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ต้องผ่านการทดสอบติดเชื้อแบบควบคุม เช่น วัคซีน สารกระตุ้นภูมิคุ้มกัน และโพรไบโอติก ซึ่งได้รับการสนับสนุนงบประมาณในการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานการวิจัยจาก บพค. ผ่านแผนงาน N43 (S3P20) พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการวิจัย และการพัฒนาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีที่สอดรับกับการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคต และบริการแห่งอนาคต โดยมี ดร.สรวิศ เผ่าทองศุข นักวิจัยอาวุโส สังกัด ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นหัวหน้าโครงการห้องปฏิบัติการสัตว์น้ำขั้นสูงฯ พร้อมคณะนักวิจัยและผู้ประกอบการในเครือข่ายความร่วมมือของไบโอเทคให้การต้อนรับกว่า 50 คน พร้อมนำคณะ บพค. เยี่ยมชมห้องปฏิบัติการบริการด้านเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอย่างใกล้ชิด ณ อาคาร Co-working space และตึก BIOTEC Pilot Plant (ตึก16) สวทช. อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี

ในการนี้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เชาวรีย์ อรรถลังรอง ผู้อำนวยการไบโอเทค สวทช. กล่าวว่า การเปิดตัวห้องปฏิบัติการในวันนี้ เป็นการประกาศความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมระดับประเทศ ที่จะมีบทบาทสำคัญต่ออุตสาหกรรมสัตว์น้ำของไทย เพื่อวัตถุประสงค์ในการผลักดันงานวิจัยและนวัตกรรมสู่การใช้ประโยชน์จริงในอุตสาหกรรมผ่านความร่วมมือกับภาครัฐและเอกชน การพัฒนาวิธีการและให้บริการวิเคราะห์ทดสอบที่ทันสมัย และการเสริมสร้างขีดความสามารถของอุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทยอย่างยั่งยืน พร้อมจะเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนนวัตกรรมด้านสุขภาพสัตว์น้ำ รวมถึงเป็นพื้นที่บ่มเพาะและทดสอบผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาระบบการเลี้ยงที่ปลอดภัย ยั่งยืน และแข่งขันได้ของประเทศ
ด้าน ดร.ณิรวัฒน์ ธรรมจักร์ ผู้อำนวยการ บพค. กล่าวว่า ห้องปฏิบัติการขั้นสูงภายใต้ระบบความปลอดภัยชีวภาพระดับ 2 ถือเป็นหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานด้านการวิจัยชีวภาพ ภายใต้มาตรฐาน BSL-2 สำหรับสัตว์น้ำอย่างครบวงจรแห่งแรกของประเทศ และเป็นการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันของอุตสาหกรรมสัตว์น้ำไทยอย่างยั่งยืน โดย บพค. มีความมุ่งมั่นที่จะยกระดับขีดความสามารถของภาคการวิจัย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของภาคอุตสาหกรรมเกษตรที่เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักของประเทศ พร้อมเชื่อมั่นว่า ห้องปฏิบัติการนี้จะเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีชีวภาพเพื่ออุตสาหกรรมสัตว์น้ำของภูมิภาคอาเซียน และสร้างประโยชน์อย่างกว้างขวางให้กับอุตสาหกรรมสัตว์น้ำของประเทศไทย

ทั้งนี้ ห้องปฏิบัติการ Advanced Aquatic Animal BSL2 พร้อมให้บริการแบบ One-Stop Service ในการทดสอบวัคซีน สารเสริมชีวนะ หรือสารชีวภาพ เพื่อสนับสนุนนักวิจัยและผู้ประกอบการในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การตรวจสอบวินิจฉัยเชื้อโรคในสัตว์น้ำ และการพัฒนาเทคโนโลยีป้องกันโรคในสัตว์น้ำได้อย่างปลอดภัย ถูกต้อง และมีมาตรฐานในระดับสากล โดยมีความพร้อมด้านสิ่งอำนวยความสะดวกและระบบโครงสร้างพื้นฐาน (Facilities) ในส่วนของห้องเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำความปลอดภัยทางชีวภาพระดับ 2 ได้แก่ ถังเพาะเลี้ยงขนาด 220 ลิตร จำนวน 24 ถัง ระบบเพาะเลี้ยงน้ำหมุนเวียน ระบบควบคุมอุณหภูมิ ระบบติดตามการทำงาน ระบบบำบัดน้ำ และในส่วนของห้องปฏิบัติการความปลอดภัยทางชีวภาพระดับ 2 ได้แก่ ห้องปฏิบัติการสาหร่าย ห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงเซลล์และไวรัส “และห้องปฏิบัติการแบคทีเรียที่ประกอบด้วย” เครื่องเขย่าพร้อมควบคุมอุณหภูมิ ถังหมักแบบตั้งโต๊ะ และเครื่องปั่นเหวี่ยงความเร็วสูง

บพค. ยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมผลักดันโครงสร้างพื้นฐานการวิจัยนี้ และเชื่อมั่นว่า ห้องปฏิบัติการนี้จะกลายเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันให้ประเทศไทย ก้าวสู่การเป็น “ศูนย์กลางนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีชีวภาพ เพื่ออุตสาหกรรมสัตว์น้ำของภูมิภาคอาเซียน” เพื่อยกระดับมาตรฐานห้องปฏิบัติการทางชีวภาพสู่ระดับโลกในอนาคต สอดคล้องกับแนวทางของรัฐบาลในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG ที่เน้นการใช้ทรัพยากรชีวภาพอย่างยั่งยืน ควบคู่กับการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยได้เติบโตอย่างยั่งยืน
