เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2568 กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.) นำโดย ดร.รัฐภูมิ ตู้จินดา รองผู้อำนวยการ บพค. ได้รับมอบหมายจาก ดร.ณิรวัฒน์ ธรรมจักร์ ผู้อำนวยการ บพค. เป็นวิทยากรกล่าวปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ “แนวทางการสนับสนุนด้านการพัฒนากำลังคนและงานวิจัยขั้นแนวหน้าตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรมของ บพค.“ ภายในงานสัมมนาทางวิชาการและถ่ายทอดองค์ความรู้ ด้านระบบราง การขนส่งและโลจิสติกส์ ประจำปี 2568 ณ ศูนย์การเรียนรู้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ถนนพระรามเก้า กรุงเทพมหานครฯ
โดยได้รับเกียรติจาก นายกาจผจญ อุดมธรรมภักดี ผู้ว่าการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรมสัมมนาฯ พร้อมด้วย รองศาสตราจารย์ ดร.ธนภัทร์ วานิชานนท์ คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลและคณะอาจารย์ ให้การต้อนรับ การจัดกิจกรรมสัมมนาและถ่ายทอดองค์ความรู้ในครั้งนี้ จัดขึ้นเป็นปีที่ 2 ภายหลังมีความร่วมมือทางวิชาการในการสนับสนุนแนวทางวิจัยและร่วมผลิตบัณฑิตสมรรถนะสูงตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่าง รฟม. กับคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ในการนี้ ดร.รัฐภูมิฯ ได้กล่าวบรรยายถึงแนวทางการสนับสนุนทุนด้านการพัฒนากำลังคนทักษะสูงตรงตามความต้องการของประเทศและการส่งเสริมงานวิจัยขั้นแนวหน้าตอบโจทย์นโยบายการพัฒนาประเทศตามแผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) รวมถึงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่จำเป็นต่อการเตรียมพร้อมสำหรับการสร้างกำลังคนและงานวิจัยขั้นสูงอีกด้วย ซึ่งเป็นภารกิจสำคัญของ บพค. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลไกการสร้างกำลังคนทักษะสูงประกอบด้วย 4 รูปแบบ ดังนี้
1. นักวิจัยหลังปริญญาโท-เอก ร่วมมือกับภาคเอกชน/อุตสาหกรรม
2. การพัฒนาทักษะเดิม-เสริมทักษะใหม่ (Reskill/Upskill)
3. การผลิตบุคลากรวิจัยให้มีทักษะเฉพาะทางเชิงลึกด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขั้นสูง (Deep Specialization Graduate Platform) ภายใต้วิทยสถานวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย
4. การส่งเสริมแกนนำภาคีสำคัญระดับโลก (Global League) ให้ประเทศไทยมีผู้นำในสาขาที่สำคัญได้ยืนบนเวทีโลก
“สำหรับกระทรวง อว. ได้มีความเชื่อมโยงบทบาทในการสนับสนุนอุตสาหกรรมระบบรางร่วมกับกระทรวงคมนาคมผ่านโปรแกรมที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นด้านการพัฒนาคน มีหน่วยงานที่สนับสนุน อาทิ มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ภายใต้การผลักดันจากที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ) ในการผลิตคนในระดับปริญญาตรี-โท-เอก บพค. ให้ทุนสนับสนุนในระดับ Post-graduate สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) สนับสนุนศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญ (Hub of Talent) และเส้นทางอาชีพนักวิจัย ส่วนด้านการเป็นศูนย์ทดสอบมาตรฐานจะมีสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) เป็นหน่วยบริการและพัฒนางานวิจัย และยังมีหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถการแข่งขันของประเทศ (บพข.) เป็นหน่วยงานสนับสนุนทุนแผนงานระบบรางโดยเฉพาะอีกด้วย“ ดร.รัฐภูมิกล่าว
นอกจากนี้ ยังกล่าวเสริมอีกว่า ”บพค. มีส่วนสนับสนุนโครงการด้านเทคโนโลยีระบบรางใน 3 โครงการ ครอบคลุมกลไกการสร้างนักวิจัยระดับปริญญาโท-เอกด้วยกลไกของหลักสูตรที่มีการจัดการที่แตกต่างจากมาตรฐานการอุดมศึกษาหรือ “หลักสูตรแซนด์บอกซ์” จำนวน 2 หลักสูตร/2 โครงการ จากมหาวิทยาลัยมหิดลและมหาวิทยาลัยพะเยา และกลไกการสร้างนักวิจัยหลังปริญญาโท-เอกอีกจำนวน 1 โครงการจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งมีความคาดหวังต่อการลงทุนในการสร้างคนว่า ระบบรางของไทยจะต้องเกิดการพัฒนาให้ได้ด้วยกำลังฝีมือคนไทย ใช้วัสดุจากในประเทศ ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศให้ได้มากที่สุด และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางรางในระดับภูมิภาค (Hub of Asean Transport) ต่อไปในอนาคต“
โครงการที่จัดขึ้นในวันนี้ มีรองศาสตราจารย์ ดร.วเรศรา วีระวัฒน์ เป็นหัวหน้าโครงการรับทุนวิจัยจากแผนงาน F13 (S4P21) ผลิตและพัฒนาบุคลากรด้านการวิจัย และพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์ รวมทั้งนักวิทยาศาสตร์ และนวัตกร ที่มีทักษะสูง ให้มีจำนวนมากขึ้น และตรงตาม ความต้องการของประเทศ โดยใช้วิทยาศาสตร์ การวิจัยและนวัตกรรม ที่ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ในปีงบประมาณ 2567 และ 2568 ได้ให้เกียรตินำเดินชมนิทรรศการโปสเตอร์ความก้าวหน้าของการทำงานวิจัยของผู้ช่วยวิจัยและนิสิตจากมหาวิทยาลัยเครือข่าย เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยพะเยา กว่า 34 ผลงานและภายในงานมีผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรมอย่างคับคั่งกว่า 250 คน โดยมาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับระบบรางทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานรัฐและเอกชนที่ดูแลส่วนงานออกแบบ ก่อสร้าง ระบบปฏิบัติการควบคุมรถไฟ การบำรุงรักษา และระบบอาณัติสัญญาณการเดินรถ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายที่ดีของการร่วมแลกเปลี่ยนความคิด และสร้างเครือข่ายของหน่วยงานต่าง ๆ ร่วมกันระหว่างกระทรวงอีกด้วย