เมื่อวันที่ 4-7 กันยายน 2568 หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย ดร.ณิรวัฒน์ ธรรมจักร์ ผู้อำนวยการ บพค. มอบหมายให้ นางสาววิภาวี เจียมใจ นักวิเคราะห์โครงการ บพค. เข้าร่วมกิจกรรม “ค่ายเยาวชนนักสื่อสารเพื่อสร้างการรับรู้ CCUS” ณ จังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดลำปาง ซึ่งเป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นภายใต้โครงการภาคีเครือข่ายพันธมิตร ด้านการดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บคาร์บอนแห่งประเทศไทย (TCCA) เพื่อการขับเคลื่อนเทคโนโลยีด้าน CCUS ของประเทศ และผลักดันให้เกิดการนำไปใช้จริงในภาคอุตสาหกรรม เพื่อเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนของประเทศไทย ภายใต้การสนับสนุนทุนวิจัยของ บพค. ผ่านกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ในปีงบประมาณ 2568 โดยการจัดกิจกรรมในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสร้างบุคลากรรุ่นใหม่ให้มีความรู้ความเข้าใจในเทคโนโลยี CCUS และมีทักษะการสื่อสารที่สามารถขับเคลื่อนสังคมไทยไปสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ซึ่งมีเยาวชนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายและครูผู้สอนที่ผ่านการคัดเลือกมาจากทั่วประเทศ เข้าร่วมกิจกรรมกว่า 40 คน
รศ.ดร.ธงชัย ฟองสมุทร คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมงาน และนำเสนอพันธกิจสำคัญในฐานะสถาบันอุดมศึกษาที่เป็นสมาชิกเครือข่าย TCCA พร้อมมุ่งมั่นที่จะสร้างบุคลากรทักษะสูงให้กับประเทศ และทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางความรู้ด้านเทคโนโลยี CCUS โดยจัดให้มีกระบวนวิชาและหลักสูตรที่รองรับความต้องการของทั้งภาคอุตสาหกรรมและภาครัฐ รวมถึงการ Re-skill และ Up-skill ตลอดจนการจัดการเรียนการสอนแบบเรียนรู้ตลอดชีวิต การจัดค่ายครั้งนี้จึงเป็นการนำพันธกิจดังกล่าวมาสู่การปฏิบัติจริง
ด้าน ดร.พงษ์วิภา หล่อสมบูรณ์ ผู้เชี่ยวชาญอาวุโส สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ในฐานะประธานกรรมการขับเคลื่อน TCCA ในฐานะประธานเปิดงาน กล่าวว่า “โครงการนี้ไม่เพียงมอบความรู้ด้าน CCUS และวิกฤตโลกร้อนแก่เยาวชน แต่ยังสร้างเวทีให้เยาวชนได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการผลิตสื่อเพื่อขยายผลการรับรู้สู่สังคม เป็นการบ่มเพาะนักสื่อสารรุ่นใหม่ที่พร้อมเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง และเป็นรากฐานสำคัญของการเชื่อมโยงทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรม และภาควิชาการวิจัย เพื่อยกระดับความพร้อมด้านเทคโนโลยีไปสู่การใช้งานจริง”
โอกาสนี้ รศ.ดร.สุพฤทธิ์ ตั้งพฤทธิ์กุล หัวหน้าศูนย์วิจัยการดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์เชียงใหม่ และประธานการจัดงานครั้งนี้ ได้กล่าวว่า “อีก 15 ปีข้างหน้า ในปี 2040 ประเทศไทยต้องเริ่มดำเนินโครงการ CCUS เชิงอุตสาหกรรมอย่างจริงจัง เยาวชนที่เข้าร่วมโครงการนี้จะเติบโตเป็นกำลังสำคัญของประเทศในการพัฒนาและขับเคลื่อนเทคโนโลยีนี้ การสร้างความรู้ ความเข้าใจ และทักษะการสื่อสารตั้งแต่วันนี้ คือการวางรากฐานสำคัญทั้งต่อวิชาการและการยอมรับของสังคม”
ภายในกิจกรรมยังมีการบรรยายพิเศษ ในหัวข้อ “ความสำคัญของเทคโนโลยี CCUS ในการเปลี่ยนผ่านพลังงาน” โดย รศ.ดร.สุพฤทธิ์ฯ และการบรรยายให้ความรู้เรื่องเทคโนโลยี CCUS ที่สำคัญจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ 1.การบรรยายให้ความรู้เทคโนโลยีการดักจับคาร์บอน 2.การบรรยายให้ความรู้เทคโนโลยีการใช้ประโยชน์คาร์บอน และ 3.การบรรยายให้ความรู้เทคโนโลยีการกักเก็บคาร์บอน อีกทั้งยังมีการศึกษาดูงานเครื่องต้นแบบดักจับคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยเทคโนโลยีเอมีน ณ ศูนย์ฝึกอบรมการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง และศึกษาดูงานห้องปฏิบัติการศูนย์วิจัยการดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์เชียงใหม่ ณ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
นอกจากนี้ เยาวชนที่เข้าร่วมกิจกรรมยังได้ฝึกปฏิบัติการผลิตสื่อวิดีโอเชิงสร้างสรรค์ ตั้งแต่การวางแผน เขียนบท ทำ Storyboard ถ่ายทำ ตัดต่อ และนำเสนอผลงานต่อคณะกรรมการในรอบตัดสิน ซึ่งการจัดค่ายในครั้งนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่ง โดยบรรลุวัตถุประสงค์ทั้งการสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่อง CCUS แก่เยาวชนและครูผู้สอน การขยายผลการรับรู้ผ่านผลงานคลิปวิดีโอ การพัฒนาเยาวชนให้มีทักษะการสื่อสาร การทำงานเป็นทีม และความเป็นผู้นำในประเด็นสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างเครือข่ายเยาวชนที่พร้อมจะเป็น “นักสื่อสารด้านคาร์บอน” รุ่นใหม่ต่อไป
บพค. ในฐานะหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน ที่รับผิดชอบแผนงาน N49 (S4P22) สร้างระบบและกลไกการทำงานร่วมกันอย่างเข้มแข็งในรูปแบบภาคีเครือข่าย วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ด้านต่างๆ ของประเทศ พร้อมผลักดันและสนับสนุนการดำเนินกิจกรรมร่วมกันของกลุ่มภาคีเครือข่าย CCUS เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ของประเทศต่อไป