เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2568 หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) นำโดย ดร.ณิรวัฒน์ ธรรมจักร์ ผู้อำนวยการ บพค. พร้อมด้วย ดร.จิตติ มังคละศิริ รองผู้อำนวยการ บพค. และเจ้าหน้าที่ บพค. เข้าร่วมงานเสวนาวิชาการ “จากข้อมูลสู่โอกาส: แกะรอยสารพิษ…ปลุกชีวิตแม่น้ำกก” ภายใต้หัวข้อ “แนวทางการแก้ไขปัญหาสารเคมีและสารหนูในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ด้วยวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม” ณ ห้องประชุม ดร.สมศักดิ์ – คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล ชั้น 2 อาคารสยามบรมราชกุมารี สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ กรุงเทพฯ
งานประชุมเสวนาวิชาการฯ ในครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้โครงการ “การจัดการลุ่มแม่น้ำกกที่ปนเปื้อนสารพิษด้วยเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศและเทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อความมั่นคงด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ” โดยมี ศ. ดร.ศิวัช พงษ์เพียจันทร์ สังกัด สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ เป็นหัวหน้าโครงการ ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยภายใต้กองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กองทุนส่งเสริม ววน.) โดย บพค. ประจำปีงบประมาณ 2568 และมีเป้าหมายเพื่อเผยแพร่และแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ และผู้ที่เกี่ยวข้องกับปัญหาในพื้นที่ ในการใช้ข้อมูลวิทยาศาสตร์และวิจัยขั้นสูงสำหรับการแก้ไขปัญหามลพิษและสารเคมีปนเปื้อนในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย รวมถึงแนวทางการฟื้นฟูพื้นที่ลุ่มน้ำอย่างยั่งยืน
โอกาสนี้ ดร.ณิรวัฒน์ ธรรมจักร์ ผู้อำนวยการ บพค. ได้รับเกียรติให้กล่าวเปิดงานประชุมเสวนาวิชาการฯ โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการใช้วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมขั้นสูง เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลแหล่งกำเนิดและชนิดของสารพิษที่แม่นยำ และพัฒนานวัตกรรมเพื่อฟื้นฟูคุณภาพน้ำ ซึ่งจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหามลพิษจากสารพิษและสารหนูในพื้นที่ภาคเหนือที่มีความซับซ้อนได้อย่างจริงจังและเป็นระบบ ทั้งนี้ บพค. ในฐานะหน่วยงานบริหารและจัดการทุนที่มีพันธกิจในการการสนับสนุนการวิจัยขั้นแนวหน้า และการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง โดยเฉพาะเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ และเทคโนโลยีดาวเทียม เพื่อการประยุกต์ใช้ด้านการเกษตร การอนุรักษ์และพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติ และการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ซึ่งได้รับมอบหมายให้ดำเนินการโดยกองทุนส่งเสริม ววน. ภายใต้แผนงานสำคัญ F11 (S3P19) มีความคาดหวังว่าการเสวนาวิชาการฯ จะเป็นเวทีสำคัญที่เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนได้แลกเปลี่ยนความรู้และร่วมกันหาแนวทางที่เป็นรูปธรรมเพื่อร่วมกัน “ปลุกชีวิตแม่น้ำกก” ให้กลับมาหล่อเลี้ยงคนริมฝั่งน้ำ สร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยแก่คนในพื้นที่และผู้เยี่ยมเยือน
โดยการประชุมเสวนาวิชาการฯ นี้ยังได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ และผู้ที่เกี่ยวข้องกับปัญหาในพื้นที่จากหลากหลายวงการเข้าร่วมเป็นวิทยากรในงานเสวนา ดังนี้
นอกจากนี้ ดร.จิตติ มังคละศิริ รองผู้อำนวยการ บพค. ได้เข้าร่วมเวทีเสวนา “ก้าวไปข้างหน้า…สู่การฟื้นฟูอย่างยั่งยืน” พร้อมกับวิทยากรข้างต้น โดยในการเสวนานี้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาการปนเปื้อนโลหะหนักและสารหนูในแม่น้ำกกส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนและสิ่งแวดล้อมอย่างกว้างขวาง โดยการปนเปื้อนของสารพิษในแม่น้ำกกอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากธรรมชาติหรือกิจกรรมของมนุษย์ อาทิ การทำเหมือง และได้ขยายเป็นปัญหามลพิษข้ามพรมแดนที่ซับซ้อน ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยทั้งการเจรจารัฐภาคีบูรณาการความร่วมมือระหว่างประเทศ และข้อมูลวิทยาศาสตร์และการวิจัยในการติดตามและวิเคราะห์สถานการณ์ วางแนวทางการแก้ไขที่เหมาะสมทั้งแผนดำเนินงานระยะสั้นและระยะยาว รวมถึงการบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานสถาบันอุดมศึกษา สถาบันวิจัยเฉพาะทาง สถาบันวิจัยต่าง ๆ ในพื้นที่
ในช่วงหนึ่งของการเสวนา ดร.จิตติฯ ได้ให้ข้อคิดเห็นที่สำคัญว่า “การแก้ปัญหาการปนเปื้อนสารพิษในแหล่งน้ำเป็นประเด็นที่ประเทศไทยเผชิญอย่างยาวนาน นอกจากภาครัฐที่ออกนโยบายและแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจังแล้ว ยังต้องอาศัยความร่วมมือจากนักวิจัยและนักวิชาการเพื่อการดำเนินการศึกษาวิจัยที่ทันต่อเหตุการณ์ รวดเร็วและน่าเชื่อถือ ซึ่งจะนำไปสู่การใช้ข้อมูลวิทยาศาสตร์จัดทำข้อเสนอแนะทางนโยบายเพื่อการแก้ปัญหาอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพต่อไป” และยังได้กล่าวเสริมอีกว่า “ปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่ปัญหาของคนในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ หรือเชียงรายเท่านั้น แต่เป็นปัญหาระดับประเทศ ซึ่งการดำเนินงานวิจัยของ ศ. ดร.ศิวัชฯ จะทำให้ได้ต้นแบบการวิเคราะห์ต้นเหตุ และการแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนมลพิษในแหล่งน้ำ ที่สามารถใช้ป้องกันสาธารณภัยที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้”
บพค. ในฐานะหน่วยงานที่ขับเคลื่อนการพัฒนางานวิจัยขั้นแนวหน้าและเทคโนโลยีขั้นแนวหน้า พร้อมให้การสนับสนุนความร่วมมือในการดำเนินโครงการวิจัย เพื่อแก้ไขและค้นหาสาเหตุของการปนเปื้อนสารพิษในแม่น้ำกกด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง อันจะนำไปสู่การเสริมสร้างความมั่นคงด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนอย่างยั่งยืนต่อไป